ทัวร์สิบสองปันนา Backpack แบบประหยัด
เราเริ่มจากการทำวีซ่าจีน โดยหาข้อมูลผ่านเว็บไซต์ต่างๆ เป็นการทำวีซ่าครั้งแรกที่ต้องเตรียมเอกสารเอง ทำให้ยุ่งยากมากแต่ก็ผ่านไปได้ค่ะ เราเดินทางโดยการนั่งรถไปค่ะ ต้องเขียนจดหมายว่าเราเดินทางกี่วัน เดินทางกันกี่คนและเดินทางยังไง เราขอข้ามขั้นตอนการทำวีซ่าไปนะเพราะตอนที่ทำวีซ่าไม่ได้ถ่ายรูปเอาไว้
เป็นร้านรถเข็นเล็กๆค่ะ เรียงขายกันแล้วก็มีโต๊ะให้นั่งกินด้านหลังรถเข็น แต่รสชาติเยี่ยมมากค่ะ มองข้ามเรื่องสถานที่ไปได้เลย หลังจากนั้นพวกเราก็กลับโรงแรมนอนค่ะ เตรียมตัวเดินทางไปเมืองล่ากันค่ะ
วันที่สาม พวกเราออกเดินทางจากโรงแรม 8 โมงเช้าค่ะ แวะหาข้าวเช้าทานกันที่ตลาดในเมืองพง สิ่งแรกที่เรามุ่งหน้าไปกันคือนี่เลยค่ะ
ซาลาเปา หมั่นโถว ลูกละ 1 หยวนค่ะ อร่อยมาก ต่อมาต่อด้วยพระเอกในทริปค่ะ
นี่คือข้าวซอย (ที่สิบสองปันนาเค้าเรียกกันแบบนี้) เส้นรสชาติเหมือนเส้นขนมจีนบ้านเราเลยค่ะ ต่างกันที่น้ำซุปจะจืดๆหน่อย มีเครื่องเคียงให้เติมเพียบเลยค่ะ ที่จีนนิยมผงชูรสมาก ถึงขั้นมีใส่ถ้วยไว้ให้ตักเติมเองกันเลยทีเดียวค่ะ
จากนั้นเราก็ไปเดินในตลาดกันค่ะ
ขณะที่เดินไป ชิมไป เราก็เจอชาวไทลื้อค่ะ อาจารย์ก็พูดคุยกับเค้าทำให้รู้ว่ามีหมู่บ้านไทลื้ออยู่กลางเมืองด้วย ซึ่งอีกไม่นาน หมู่บ้านเหล่านี้จะถูกแทนที่ด้วยสภาพของตึกสูง บ้านแบบชาวไทลื้อจะค่อยๆหายไปค่ะ กลายเป็นตึกแบบคอนเทมไทลื้อแทน ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายค่ะที่คนในยุคหลังๆอาจจะไม่ได้เห็นบ้านไทลื้อแบบดั้งเดิมอีก
นี่คือชาวไทลื้อที่เราเจอค่ะ
นี่คือบ้านไทลื้อที่อยู่ท่ามกลางเมืองใหญ่ๆ อาจจะมีเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามสภาพแวดล้อมค่ะ
จากแผนแรกของเราที่เราจะไปเมืองล่า อาจารย์อยากให้การเดินทางกระชับมากขึ้น จึงพาพวกเราไปที่เมืองแวนค่ะ เพื่อไปดูหมู่บ้านไทลื้อของจริงที่ยังมีอยู่ค่ะ พวกเราจึงไปขึ้นรถที่ท่ารถของเมืองพง เพื่อไปเมืองแวนค่ะ แล้วเราก็โชคดีที่เจอคนไทลื้อค่ะ เค้าฟังภาษาไทได้ สื่อสารกันได้ เค้าเลยช่วยพวกเราซื้อตั๋วและบอกคนขับรถให้ค่ะ ทำให้เชื่อได้เลยว่าคนไทมาสิบสองปันนาพูดจีนไม่เป็นแต่เรายังมีเพื่อนที่มีความเป็นไทที่เค้าพร้อมจะช่วยเราซึ่งต่างจากคนจีนค่ะ เดินชนกันไม่มีขอโทษกันเลย
รถที่พวกเราขึ้นค่ะ
นี่เป็นทางเดินเข้าหมู่บ้านจากถนนใหญ่ค่ะ ต่อด้วยรูปของหมู่บ้านเลยนะค่ะ
แล้วเราก็เดินทางมาถึงบ้านชาวไทลื้อที่อาจารย์เคยมาขอพักอาศัยด้วยค่ะ คนที่นี่ต้อนรับเราแบบอบอุ่นมากค่ะ
เจ้าของบ้านชื่อพ่ออูปค่ะ พอเราไปถึงพ่ออูปก็มาต้อนรับ พ่ออูปบอกว่ามีงานที่วัดพอดีเลย พ่ออูปก็เลยพาพวกเราไปเที่ยวงานวัดกันค่ะ
นี่ค่ะพ่ออูป
พ่ออูปพามาไหว้พระที่วัดค่ะ ก่อนไปเที่ยวงานกัน
บรรยากาศที่มองมาจากวัดค่ะ วัดที่นี่อยู่สูงมากค่ะ เลยเห็นหมู่บ้านทั้งหมดเลย หลังจากนั้นพวกเราก็ลงมารอดูการแสดงกันค่ะ ระหว่างรอผู้ชายก็เล่นบาสกับเด็กๆแถวนั้น ส่วนสาวๆก็เดินหาของกินกันค่ะ
การแสดงในคืนนั้นค่ะ
จากนั้นเราก็ไปทานอาหารกันที่ร้านกลางหมู่บ้านค่ะก่อนจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านพ่ออูป
เป็นแสงที่เกิดจากความบังเอิญที่ให้ความรู้สึกที่ทรงพลังต่อสถาปัตยกรรมชิ้นนี้มากค่ะ
เริ่มเช้าวันที่สี่ด้วยอากาศที่หนาวมากจากบ้านพ่ออูป
บรรยากาศตอนเช้าค่ะ
เส้นทางนี้เป็นทางที่เราเจอห้องน้ำที่สะอาดสุดในจีน ค่าบริการ 1 หยวน ทุกคนยอมจ่ายเลยค่ะ จัดหนักจัดเต็มกันทุกคนก่อนที่เราจะนั่งรถต่อไปยังเมืองรวงเพื่อไปหมู่บ้านไทลื้ออีกหมู่บ้านนึงค่ะ
เมืองรวงมีหมู่บ้านไทลื้อที่มีฐานะกว่าเมืองแวนค่ะ บ้านด้านล่างจะเป็นอิฐ ส่วนด้านบนยังคงเป็นไม้ค่ะ แต่ยังคงลักษณะของบ้านไทลื้อไว้เหมือนเดิมค่ะ
เราเดินไปขอพักกับชาวไทลื้อโดยมีแม่อิ่นผู้ใจดีให้เราพักที่บ้านของแม่อิ่นค่ะ ชาวบ้านพอรู้ว่ามีคนไทมาทุกคนดีใจกันมากเลยค่ะ เพราะชาวไทลื้อที่นี่ส่วนใหญ่มีญาติอยู่ที่บ้านรวงเหนือง รวงใต้ อ.ดอยสะเก็ด เชียงใหม่ค่ะ แม่อิ่นรีบพาเราไปที่บ้าน ให้พวกเราวางข้าวของแล้วบอกว่าจะทำอาหารเย็นไว้รอ ระหว่างนั้นชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆก็รีบมาที่บ้านแม่อิ่นมาช่วยกันทำอาหารต้อนรับ เป็นสิ่งที่พวกเราประทับใจมาก เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่เค้ากลับต้อนรับเราอย่างอบอุ่นค่ะ จากนั้นเราก็ออกมาเดินดูสถาปัตยกรรมของที่นี่ คราวนี้เพื่อนในทริปเจอของเด็ดค่ะ กล้วยทอดอร่อยมาก ต่างจากที่ไทยสุดๆเลยค่ะ
หลังจากที่เราเดินสำรวจกันหมดแล้ว เราก็เดินกลับไปที่บ้านของแม่อิ่น แม่อิ่นทำอาหารไว้รอเพียบเลยค่ะ แถมยังปูฟูกนอนนุ่มๆให้พวกเราอีกคนละฟูกพร้อมหมอน ผ้าห่ม เป็นการตอนรับที่เราไม่คาดว่าจะได้เจอเลยค่ะ กินอิ่มนอนอุ่นของจริงเลย
เริ่มวันที่ห้าด้วยการไปออกกำลังกายค่ะ
พวกเราตื่นเช้ามา แม่อิ่นและคนอื่นๆกำลังยุ่งกับการทำอาหารเช้าให้พวกเราทานค่ะ เราเลยเดินไปที่ลานกิจกรรมของหมู่บ้านกัน
จะเห็นได้ว่าแม่ๆกำลังฟ้อนกันบนเวที และพ่อๆทั้งหลายกำลังเล่นวอลเลย์บอลกันอยู่ค่ะ พวกเราเลยไปขอแจมด้วย
หลังจากที่ทั้งเต้นทั้งเล่นกันจนเหงื่ออกแล้วก็กลับมากินค่ะ ทริปนี้เหมือนมากินมากกว่ามาดูสถาปัตยกรรมเลย หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ แม่อิ่นก็ถามพวกเราว่าจะเดินทางไปไหน โดยจุดหมายของพวกเราอยู่ที่เมือง ฮำค่ะ แม่อิ่นเลยเรียกรถตู้ในหมู่บ้านมารับพวกเราค่ะ ระหว่างที่ลากัน แม่อิ่นร้องไห้ ไม่อยากให้พวกเรากลับค่ะ
อาหารที่ทำเลี้ยงค่ะ
หลังจากที่เราออกเดินทางจากเมืองรวงไปเมืองฮำ ระหว่างทางเราต้องเอารถข้ามน้ำโขงค่ะ ตื่นเต้นๆ รถข้ามน้ำ ตอนแรกนึกว่าจะได้นั่งในรถ แต่เค้าให้คนออกมาลงแพอีกลำค่ะ
นี่เลยค่ะแพที่บรรทุกคน แต่รถจะเป็นแพอีกลำค่ะ
หลังจากที่ถึงเมืองฮำ อาจารย์จุลพรก็ขอแชะภาพกับคนขับรถใจดีทั้งสองคนด้วยค่ะ
เราหาที่พักในเมืองฮำแล้วเราออกเดินเท้าไปสำรวจบ้านไทลื้อในเมืองฮำกันค่ะ ขอโชว์แต่รูปภาพนะคะ
ระหว่างนั้นเราเจอวัดไทลื้อค่ะ วัดแบบดั้งเดิมเลยค่ะ เป็นวัดที่สวยมาก ก่อนทางเข้าวัดเราจะพบเสื้อบ้านของไทลื้อค่ะ
นี่เป็นตัว มังกะละ เป็นมังกรของจีนบวกกับนาคของไทยค่ะ มีที่หัวบันไดทางเข้าวัดค่ะ
จากนั้นพวกเราก็กลับโรงแรมไปหาอาหารเย็นทานกันก่อนจะออกเดินทางกลับไปที่ลาวในวันรุ่งขึ้นค่ะ
ที่มา : pantip.com
เปิดประวัติเชียงตุง!! ยลโฉมเจ้าชายรูปงาม "เจ้าจายหลวง"
วัดพระเจ้าหลวงน้ำยื้ออยู่เลยจากวัดน้ำไค้เข้าไปอีกราว 10 กิโลเมตร ตลอดเส้นทางล้วนเป็นป่าดอยดงหนา สลับซับซ้อนสูงขึ้นเรื่อยๆ การหักร้างถางป่าดูจะเบาบางลง จะว่าเปล่าผู้หมู่ชนอาศัยก็ไม่ใช่ ศาลาพักยั้งระหว่างทางพอมีให้เห็นบ้าง ?มีศาลาย่อมมีหมู่บ้าน? หากแต่จะซ่อนตัวอยู่ ณ ที่ใดไม่อาจทราบได้ หรือเพราะดงใหญ่ไพรกว้าง จึงมีที่ทางทำกินมากแห่ง เหลือแบ่งที่ดินให้ไม้ใหญ่ใบหนาอยู่เคล้าฝอยฝ้าหมอกฝน หรือว่าอันที่ล้านโล้นโค่นเตียนอยู่ห่างจากมรรคาเข้าไป
เมืองได้กล่าวไว้ว่า เมื่อจุลศักราช 791 (พ.ศ. 1772) พญามังรายได้เสด็จประพาสป่าและทรงไล่กวางทองมาจนถึงเมืองเชียงตุง
เต๋ยทำจากต้นกกพันธุ์พื้นบ้าน ดูเผินๆคล้ายชุดทำนาของชาวญี่ปุ่น
ถูกใส่ร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนโดนประหาร
66 หมู่1 ถนนโชคชัย4 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพ 10320